เปลี่ยนสีรถยนต์แต่งแล้วต้องแจ้งกรมการขนส่งหรือไม่? ไขข้อข้องใจเรื่อง “สีรถยนต์แต่ง” ให้กระจ่าง!
การปรับแต่งรถยนต์ โดยเฉพาะการเปลี่ยนสีรถยนต์ ถือเป็นความสุขและความภาคภูมิใจของคนรักรถหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนจากสีเดิมเพื่อเพิ่มความโดดเด่น เป็นการ Wrap สี หรือแม้แต่การทำสีทูโทนสวยๆ คำถามที่ตามมาและสร้างความสับสนไม่น้อยคือ “เปลี่ยนสีรถยนต์แต่งแล้วต้องแจ้งกรมการขนส่งหรือไม่?” บทความนี้จะมาไขข้อข้องใจทั้งหมดเกี่ยวกับ สีรถยนต์แต่ง พร้อมแนะนำขั้นตอนที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้คุณสามารถขับรถคู่ใจได้อย่างสบายใจ หมดกังวลเรื่องปัญหาทางกฎหมาย
ทำไมการเปลี่ยนสีรถยนต์จึงเป็นที่นิยม?
ก่อนจะเจาะลึกเรื่องกฎหมาย เรามาดูกันก่อนว่าทำไมการเปลี่ยนสีรถยนต์ถึงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน การเปลี่ยนสีรถไม่ได้เป็นเพียงแค่การปรับโฉมภายนอก แต่ยังสะท้อนถึงบุคลิกและความชอบของเจ้าของรถได้เป็นอย่างดี
ปัจจัยที่ทำให้คนนิยมเปลี่ยนสีรถยนต์
- ความเบื่อหน่ายในสีเดิม: การขับรถสีเดิมนานๆ อาจทำให้รู้สึกจำเจ การเปลี่ยนสีใหม่จึงเป็นเหมือนการเติมความสดชื่นให้กับรถและตัวคุณเอง
- สร้างความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์: รถยนต์ในปัจจุบันมีรุ่นและสีที่คล้ายคลึงกัน การเปลี่ยนสีช่วยให้รถของคุณแตกต่างและดึงดูดสายตาบนท้องถนน
- ปกป้องสีเดิมของรถ: การWrapสีรถนอกจากจะช่วยเปลี่ยนรูปลักษณ์แล้ว ยังสามารถปกป้องสีเดิมของรถจากรอยขีดข่วน แสงแดด และคราบต่างๆ ได้อีกด้วย
- ปรับโฉมรถมือสอง: สำหรับผู้ที่ซื้อรถมือสอง การเปลี่ยนสีเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้รถดูเหมือนใหม่และตรงกับความชอบของเจ้าของคนใหม่มากขึ้น
- แก้ไขความเสียหายของสีเดิม: ในกรณีที่สีรถเดิมเกิดความเสียหายจากการเฉี่ยวชนหรืออุบัติเหตุ การทำสีใหม่ก็เป็นทางเลือกที่ดีในการคืนสภาพรถ
กฎหมายว่าด้วยการเปลี่ยน “สีรถยนต์แต่ง” ที่คุณต้องรู้
นี่คือประเด็นสำคัญที่เจ้าของรถทุกคนที่คิดจะเปลี่ยนสีรถยนต์ต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อหลีกเลี่ยงการทำผิดกฎหมายและเสียค่าปรับโดยไม่จำเป็น กรมการขนส่งทางบกมีกฎระเบียบที่ชัดเจนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพรถยนต์ และการเปลี่ยนสีรถก็เป็นหนึ่งในนั้น
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนสีรถยนต์
พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 13
มาตรานี้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า: “รถใดที่จดทะเบียนแล้ว ห้ามมิให้ผู้ใดเปลี่ยนแปลงตัวถัง หรือเครื่องยนต์ หรือสีของรถให้ผิดไปจากรายการที่จดทะเบียนไว้ และใช้รถนั้น เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน”
พูดง่ายๆ คือ หากรถของคุณจดทะเบียนแล้ว คุณไม่สามารถเปลี่ยนส่วนสำคัญอย่าง ตัวถัง, เครื่องยนต์ หรือแม้แต่ สีรถ ให้แตกต่างไปจากข้อมูลที่ระบุไว้ในเอกสารจดทะเบียนได้เลย เว้นแต่คุณจะได้รับอนุญาตจาก นายทะเบียน ก่อน
ข้อกำหนดนี้มีขึ้นเพื่อความเป็นระเบียบและความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ดังนั้น หากมีความคิดที่จะดัดแปลงรถยนต์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนสีให้ถูกใจ หรือปรับแต่งส่วนอื่น ๆ ที่สำคัญ ควรศึกษาและดำเนินการขออนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหลังครับ
กรณีใดบ้างที่ต้องแจ้งเปลี่ยนสีรถ?
การแจ้งเปลี่ยนสีรถไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเปลี่ยนสีทั้งคันเท่านั้น แต่ยังมีกรณีอื่นๆ ที่ต้องแจ้งเช่นกัน:
- เปลี่ยนสีทั้งคัน: ไม่ว่าจะเป็นการพ่นสีใหม่ หรือการ Wrap สีทั้งคัน หากสีหลักของรถเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ต้องแจ้งแน่นอน
- เปลี่ยนสีมากกว่า 30% ของพื้นที่ผิวรถ: หากมีการทำสีตัด หรือทำสีแบบทูโทน โดยที่สีใหม่มีพื้นที่เกิน 30% ของพื้นที่ผิวรถทั้งหมด (ไม่รวมส่วนที่เป็นกระจก หลังคาซันรูฟ หรือส่วนประกอบที่เป็นสีดำจากโรงงาน เช่น ชายล่างกันชน) ต้องแจ้งเปลี่ยนสีด้วยเช่นกัน
- เปลี่ยนสีที่มีผลต่อการระบุเอกลักษณ์ของรถ: แม้จะไม่ถึง 30% แต่หากสีที่เปลี่ยนไปทำให้การระบุเอกลักษณ์ของรถตามคู่มือจดทะเบียนทำได้ยาก เช่น เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีดำทั้งหมดในส่วนใดส่วนหนึ่งที่สำคัญ ก็อาจจำเป็นต้องแจ้ง
กรณีใดบ้างที่ไม่ต้องแจ้งเปลี่ยนสีรถ?
- การติดสติกเกอร์หรือ Wrap สีที่ไม่เกิน 30% ของพื้นที่ผิวรถ: หากเป็นการ Wrap เฉพาะจุด เช่น ฝากระโปรงหน้า หลังคา หรือกระจกมองข้าง ที่มีพื้นที่ไม่เกิน 30% และยังคงสีหลักเดิมที่ระบุในคู่มือจดทะเบียนไว้ ก็ไม่จำเป็นต้องแจ้ง
- การเปลี่ยนสีชิ้นส่วนภายนอกที่ถอดเปลี่ยนได้ง่าย: เช่น การเปลี่ยนชุดแต่งรอบคันที่มีสีแตกต่างออกไป แต่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของสีตัวถังหลัก
- การติดฟิล์มกรองแสง: ไม่ว่าฟิล์มจะเป็นสีอะไรก็ตาม ไม่ถือเป็นการเปลี่ยนสีรถยนต์ที่ต้องแจ้ง
ขั้นตอนการแจ้งเปลี่ยน “สีรถยนต์แต่ง” กับกรมการขนส่งทางบก
เมื่อคุณตัดสินใจที่จะเปลี่ยนสีรถยนต์และเข้าข่ายที่ต้องแจ้ง ขั้นตอนการดำเนินการกับกรมการขนส่งทางบกนั้นไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด เพียงเตรียมเอกสารให้พร้อมและปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้
เอกสารที่ต้องเตรียม
- สมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ (เล่มสีฟ้า) ตัวจริง: สำคัญที่สุด ห้ามลืม!
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าของรถ: พร้อมลายเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง
- หนังสือมอบอำนาจ (กรณีที่เจ้าของรถไม่สามารถมาดำเนินการได้ด้วยตนเอง): พร้อมสำเนาบัตรประชาชนผู้รับมอบอำนาจและผู้มอบอำนาจ
- ใบเสร็จค่าทำสี หรือใบรับรองการเปลี่ยนสีรถ (ถ้ามี): ไม่ใช่เอกสารภาคบังคับ แต่มีไว้จะช่วยให้การตรวจสอบง่ายขึ้น
- รถยนต์คันที่ต้องการแจ้งเปลี่ยนสี: ต้องนำรถมาแสดงเพื่อให้นายทะเบียนตรวจสอบสีจริง
ขั้นตอนการดำเนินการ
- เตรียมเอกสารให้พร้อม: ตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนของเอกสารทั้งหมด
- นำรถและเอกสารไปยังสำนักงานขนส่งที่รถจดทะเบียนไว้: หรือสำนักงานขนส่งอื่นที่สะดวก (ควรสอบถามก่อนว่าสามารถทำที่อื่นได้หรือไม่)
- แจ้งความประสงค์ขอเปลี่ยนสีรถยนต์: ยื่นเอกสารต่อเจ้าหน้าที่
- นำรถเข้ารับการตรวจสภาพ: เจ้าหน้าที่ตรวจสภาพรถจะทำการตรวจสอบสีรถยนต์ของคุณว่าตรงตามที่แจ้งหรือไม่
- ชำระค่าธรรมเนียม: เมื่อการตรวจสอบเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่จะแจ้งยอดค่าธรรมเนียมในการดำเนินการ (ค่าธรรมเนียมประมาณ 50 บาท และอาจมีค่าคำขออื่นๆ เล็กน้อย)
- รอรับสมุดคู่มือจดทะเบียนรถคืน: เมื่อดำเนินการเรียบร้อยแล้ว นายทะเบียนจะบันทึกการเปลี่ยนแปลงสีรถลงในสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ของคุณ
ระยะเวลาดำเนินการ: โดยปกติแล้ว หากเอกสารครบถ้วนและรถผ่านการตรวจสภาพ ขั้นตอนทั้งหมดจะใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 1-2 ชั่วโมงก็เรียบร้อย
ผลที่ตามมาหากไม่แจ้งเปลี่ยน “สีรถยนต์แต่ง”
การไม่แจ้งเปลี่ยนสีรถยนต์ตามกฎหมายอาจนำมาซึ่งปัญหาและค่าปรับที่คุณไม่ต้องการให้เกิดขึ้น
บทลงโทษตามกฎหมาย
หากตรวจพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงสีรถยนต์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน เจ้าของรถจะมีความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 60 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท
ปัญหาอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น
- ปัญหาในการตรวจสภาพรถประจำปี: หากสีรถไม่ตรงกับที่ระบุในคู่มือจดทะเบียน คุณจะไม่สามารถผ่านการตรวจสภาพรถประจำปีได้ ซึ่งจะส่งผลให้ไม่สามารถต่อทะเบียนรถได้
- ปัญหาในการโอนรถ: เมื่อต้องการขายรถ การโอนรถจะทำไม่ได้หากข้อมูลสีรถไม่ตรงกับทะเบียน
- ปัญหาในการแจ้งความหรือเคลมประกัน: ในกรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุหรือถูกโจรกรรม การระบุสีรถที่ไม่ตรงกับเอกสารอาจทำให้การดำเนินการแจ้งความหรือการเคลมประกันล่าช้า หรือซับซ้อนขึ้นได้
- ถูกเรียกตรวจโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ: หากเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบว่าสีรถไม่ตรงกับข้อมูลในคู่มือจดทะเบียน ก็มีสิทธิ์ที่จะเรียกตรวจสอบและปรับได้ทันที
การเลือก “สีรถยนต์แต่ง” ให้ถูกใจและถูกกฎหมาย
- คิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ: การเปลี่ยนสีรถเป็นการลงทุนทั้งเวลาและเงิน ควรพิจารณาสีที่ชอบและเข้ากับบุคลิกของคุณจริงๆ
- ปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญ: หากไม่แน่ใจเรื่องวัสดุที่ใช้ทำสี (เช่น การพ่นสี หรือการ Wrap) หรือเทคนิคในการเปลี่ยนสี ควรปรึกษาอู่ซ่อมสีรถยนต์ที่มีประสบการณ์
- ทำความเข้าใจกฎหมายล่วงหน้า: ก่อนที่จะลงมือเปลี่ยนสี ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าสีที่คุณต้องการเปลี่ยนนั้นเข้าข่ายที่ต้องแจ้งหรือไม่ เพื่อวางแผนการดำเนินการได้อย่างถูกต้อง
ข้อควรพิจารณาเมื่อใช้บริการ Wrap สีรถยนต์
การ Wrap สีรถยนต์เป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถเปลี่ยนสีได้รวดเร็ว ถอดออกได้ง่าย และช่วยรักษาสีเดิมของรถ แต่ก็มีข้อควรระวัง:
- คุณภาพของฟิล์ม: เลือกใช้ฟิล์มที่มีคุณภาพดี เพื่อความทนทาน สีสันสดใส และไม่ทำลายสีรถเดิมเมื่อลอกออก
- ฝีมือช่าง: การ Wrap ที่ดีต้องอาศัยความประณีตและประสบการณ์ของช่าง เลือกอู่ที่มีชื่อเสียงและรีวิวดี
- การแจ้งขนส่ง: หากการ Wrap สีรถมีพื้นที่ครอบคลุมมากกว่า 30% ของตัวรถทั้งหมด และส่งผลให้สีหลักของรถเปลี่ยนไปจากสีที่ระบุไว้ในรายการจดทะเบียน เจ้าของรถมีหน้าที่ต้องแจ้งเปลี่ยนสีรถต่อกรมการขนส่งทางบกตามกฎหมายที่กำหนด
การดูแลรักษา “สีรถยนต์แต่ง” ให้สวยงามยาวนาน
ไม่ว่าจะเป็นการพ่นสีใหม่หรือการ Wrap การดูแลรักษาสีรถยนต์อย่างถูกวิธีจะช่วยให้สีคงความสดใสและสวยงามได้นาน:
- ล้างรถอย่างสม่ำเสมอ: ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างรถที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาที่มีฤทธิ์กัดกร่อน
- เคลือบสีหรือแว็กซ์: การเคลือบสีหรือการแว็กซ์จะช่วยปกป้องชั้นสี ให้ความเงางาม และป้องกันสิ่งสกปรก
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดเป็นเวลานาน: หากเป็นไปได้ ควรจอดรถในที่ร่มเพื่อป้องกันสีซีดจาง
- ระมัดระวังรอยขีดข่วน: ขับขี่และจอดรถด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดรอยขีดข่วนบนสีรถ
สรุป: เปลี่ยน “สีรถยนต์แต่ง” อย่างไรให้ถูกกฎหมายและสบายใจ
การเปลี่ยน สีรถยนต์แต่ง เป็นเรื่องที่ทำได้และเป็นที่นิยม แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากคุณมีการเปลี่ยนแปลงสีรถที่เข้าข่ายต้องแจ้งกรมการขนส่งทางบก ก็ควรดำเนินการให้เรียบร้อยภายใน 7 วันนับตั้งแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลง
การแจ้งเปลี่ยนสีรถไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณขับรถได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกปรับ แต่ยังช่วยให้ข้อมูลในคู่มือจดทะเบียนรถของคุณถูกต้องและเป็นปัจจุบัน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินการทางกฎหมายต่างๆ เช่น การต่อภาษี การโอนรถ หรือการเคลมประกัน
จำไว้เสมอว่า “ความไม่รู้กฎหมายไม่ใช่ข้ออ้าง” การทำความเข้าใจและปฏิบัติตามกฎหมายจราจร รวมถึงกฎหมายเกี่ยวกับรถยนต์ จะช่วยให้การใช้รถใช้ถนนของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย